วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นที่มาของขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมทุกแขนง เป็นศูนย์กลางของการศึกษา ที่ไม่มีพรมแดน พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก หลายพระองค์ได้ทรงผนวช ในพระศาสนา เป็นระยะเวลานาน ได้ทรงสร้าง ประเพณีทางพุทธศาสนาผสมกับศาสนาพราหมณ์ไว้มาก และได้ยึดถือปฏิบัติสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เช่น พระราชพิธีสิบสองเดือน มีพระราชพิธีสงกรานต์ในเดือนห้า |
ทรัพย์สมบัติที่ขุดพบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ มีหลายประเภทส่วนใหญ่จะเป็น เครื่องราชูปโภคที่ทำเป็นชุดเชี่ยนหมาก ตัวถาดรูปยาวรีคล้ายใบพลู หูล้อมสุพรรณศรี จอกน้ำและลูกหมากทองคำ เครื่องตันหรือเครื่องทรง สำหรับพระมหากษัตริย์ เช่น กรองศอ สร้อยข้อมือ สร้อยคอ กำไล พาหุรัด ทองพระกรที่ล้วนแต่ทำเป็นลวดลายและฝังอัญมณีต่าง ๆ ที่วิจิตรงดงาม
รูปเคารพในทางศาสนา เช่น สถูปจำลองทำเป็นเจดีย์ทรงลังกา พระพุทธรูปปางมารวิชัยในซุ้มเรือนแก้ว ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ พระพุทธรูปทองคำดุน ปางมารวิชัย ในซุ้มเรือนแก้วและพระคชาธาร ทรงเครื่องพร้อมสัปคับ ประดับพลอยสี เป็นต้น
เนื่องจากกรุงศรีอยุธยา เป็นที่รวมหรือชุมทางของ แม่น้ำลำคลองหลายสิบสาย เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ทั้งที่เป็น ธรรมชาติและที่ขุดขึ้นใหม่ภายหลัง ทำให้กรุงศรีอยุธยา เป็นแหล่งชุมชนทางน้ำ ซึ่งพงศาวดารเหนือได้กล่าวไว้ว่า "กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา เป็นเมืองท่าสำเภา และเมืองท่าน้ำ" ส่วนชาวเปอร์เซีย กล่าวว่า "เป็นเมืองแห่งนาวา"
เนื่องจากความศรัทธาอันแรงกล้าของพลเมืองต่อพระศาสนา จึงได้นำทองคำมาสร้างงานประติมากรรม หรือรูปเคารพในทางศาสนาเป็นอันมาก เช่น พระพุทธรูป เทวรูป พระโพธิสัตว์ พระพิมพ์ พระพุทธบาทจำลอง สถูป เครื่องอลังการ เครื่องพลีกรรม ตั้งแต่สมัยทวาราวดี ลพบุรี สุโขทัย และอยุธยา
๔. เครื่องสถาปัตยกรรมและศิลปะกรรม
สมัยโบราณนิยมนำทองคำมาประกอบตกแต่งสิ่งต่าง ๆ ให้วิจิตรงดงาม โดยใช้เป็นทองคำเปลว และจากการตรวจสอบพบว่าทองคำเปลวนั้นรู้จักทำ และใช้กันแพร่หลายตั้งแต่สมัยทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖) ในจดหมายเหตุจีนกล่าวไว้ว่า "บัลลังก์บ้าง มณฑปบ้าง ปราสาทราชวัง และคานหามบ้าง รวมทั้งเครื่องใช้อื่น ๆ ของกษัตริย์ในดินแดนเอเซียอาคเนย์ ล้วนทำด้วยทองคำ" อาณาจักรทวาราวดี หรือศูนย์กลางของดินแดนที่ชาวอินเดียโบราณขนานนามว่า "สุวรรณภูมิ" (หมายถึงเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด) จะเป็นถิ่นที่มีทองคำหรือโภคทรัพย์อุดมสมบูรณ์มาก และกรุงศรีอยุธยา หรือ "กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา" ซึ่งตั้งขึ้นภายหลัง น่าจะมีทองมาก เพราะทั้งชื่อกรุงและปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนากรุง ล้วนเกี่ยวข้องกับทองทั้งสิ้น
พื้นเพของคนอยุธยาอาจไม่ต่างจากคนพื้นเพในจังหวัดต่าง ๆ แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น อ่างทอง สุพรรณบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี เท่าใดนัก เนื่องจากชาวจังหวัดต่าง ๆ แถบนี้ล้วนมีวัฒนธรรมเกี่ยวกับสายน้ำและทุ่งกว้าง ที่ครอบคลุมหลายจังหวัด คือ ทุ่งมหาราช ที่ครอบคลุมหลายเขต เช่น ทุ่งบางปะหัน บ้านแพรก ดอนพุธ (สระบุรี) และมหาราช และจากการที่อยู่กันตามริมแม่น้ำ หรือทุ่งกว้าง ชาวบ้านนิยมปลูกบ้านเรือนเรียงกันเป็นแถวไปตามลำน้ำ โดยหันหน้าเรือนออกไปทางริมแม่น้ำลำคลอง และด้านหลังจะเป็นทุ่งนา บางท้องที่ชอบอาศัยอยู่ในเรือนแพ บริเวณที่ลำน้ำมาบรรจบกันหลายสาย มักจะมีบ้านเรือนหนาแน่น เพราะเป็นศูนย์เรือที่สัญจรไปมา และคนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ มักจะเป็นผู้มีอันจะกิน อีกทั้งมักเป็นคนเก่าแก่ในท้องถิ่น
สำหรับในตัวอำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยา ชุมชนเก่ามักอยู่ริมน้ำ โดยเฉพาะบริเวณที่น้ำมาบรรจบกัน เช่น ย่านหัวรอ (แม่น้ำเจ้าพระยามาบรรจบกับคลองหันตรา และฝั่งตรง ข้ามกับวัดพนัญเชิง (บางกระจะ) ที่เรียกว่าตำบลสำเภาล่ม (แม่น้ำเจ้าพระยาบรรจบกับแม่น้ำป่าสัก)
สำหรับในตัวอำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยา ชุมชนเก่ามักอยู่ริมน้ำ โดยเฉพาะบริเวณที่น้ำมาบรรจบกัน เช่น ย่านหัวรอ (แม่น้ำเจ้าพระยามาบรรจบกับคลองหันตรา และฝั่งตรง ข้ามกับวัดพนัญเชิง (บางกระจะ) ที่เรียกว่าตำบลสำเภาล่ม (แม่น้ำเจ้าพระยาบรรจบกับแม่น้ำป่าสัก)
กรุงศรีอยุธยาได้พัฒนาในทุก ๆ ด้านมาโดยลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงจัดระบบการปกครอง ให้เป็นปึกแผ่น เข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นรากฐาน ให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาได้พัฒนาต่อไปตามลำดับ มาถึงรัชสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราชทรงปรับปรุงด้านการทหาร รวบรวมหัวเมืองอิสสระน้อยใหญ่มาอยู่ในอำนาจของ อาณาจักรอยุธยา ทำสงครามกับลานนายึดเมืองเชียงใหม่ได้ ในห้วงเวลาเดียวกันมอญ ได้ถูกพม่ารุกรานจนต้องตกอยู่ในอำนาจของพม่า ซึ่งกำลังทำสงคราม แผ่อาณาจักรอยู่ มีมอญส่วนหนึ่งจากเมืองเชียงกราน หนีพม่าเข้ามาพึ่งไทย พม่าจึงยกกองทัพเข้ายึดเมืองเชียงกรานไว้ได้ สมเด็จพระชัยราชาธิราช จึงทรงยกกองทัพไปตีเมืองเชียงกรานกลับคืนมาได้ เป็นการเปิดฉากการสงครามระหว่างไทยกับพม่านับแต่นั้นมา พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาสมัยพระมหาจักรพรรดิ์ ได้มีการต่อสู้กันที่ทุ่งภูเขาทองจนสมเด็จพระศรีสุริโยทัย ต้องสิ้นพระชนม์บนคอช้าง | |
กรุงศรีอยุธยาได้พัฒนาในทุก ๆ ด้านมาโดยลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้ทรงจัดระบบการปกครอง ให้เป็นปึกแผ่น เข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นรากฐาน ให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาได้พัฒนาต่อไปตามลำดับ มาถึงรัชสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราชทรงปรับปรุงด้านการทหาร รวบรวมหัวเมืองอิสสระน้อยใหญ่มาอยู่ในอำนาจของ อาณาจักรอยุธยา ทำสงครามกับลานนายึดเมืองเชียงใหม่ได้ ในห้วงเวลาเดียวกันมอญ ได้ถูกพม่ารุกรานจนต้องตกอยู่ในอำนาจของพม่า ซึ่งกำลังทำสงคราม แผ่อาณาจักรอยู่ มีมอญส่วนหนึ่งจากเมืองเชียงกราน หนีพม่าเข้ามาพึ่งไทย พม่าจึงยกกองทัพเข้ายึดเมืองเชียงกรานไว้ได้ สมเด็จพระชัยราชาธิราช จึงทรงยกกองทัพไปตีเมืองเชียงกรานกลับคืนมาได้ เป็นการเปิดฉากการสงครามระหว่างไทยกับพม่านับแต่นั้นมา พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาสมัยพระมหาจักรพรรดิ์ ได้มีการต่อสู้กันที่ทุ่งภูเขาทองจนสมเด็จพระศรีสุริโยทัย ต้องสิ้นพระชนม์บนคอช้าง | |
ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๑๑๒ แต่อีก ๑๕ ปีต่อมา สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงสามารถ กอบกู้เอกราชกลับมาได้ โดยทรงประกาศอิสสรภาพที่เมืองแครง เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๒๗ พระองค์ได้ทรงทำสงคราม เพื่อความเป็นปึกแผ่นของแผ่นดินไทย ตลอดพระชนมายุของพระองค์ ทำให้อาณาจักรอยุธยาแผ่ไปอย่างกว้างขวาง เป็นหนึ่งในสุวรรณภูมิ | |
การสงครามครั้งสำคัญคือสงครามยุทธหัตถี ระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชา ที่ตำบลหนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี ผลจากสงครามครั้งนี้ทำให้พม่า ไม่กล้ายกกองทัพมารุกรานไทย เป็นระยะเวลาเกือบ ๒๐๐ ปี ทางด้านตะวันออก พระองค์ก็ได้ทรงปราบปรามกัมพูชา ที่คอยถือโอกาสซ้ำเติมเมื่อคราวไทยอ่อนแอ หรือเวลามีศึกสงครามทางด้านอื่น | |
ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๑๑๒ แต่อีก ๑๕ ปีต่อมา สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงสามารถ กอบกู้เอกราชกลับมาได้ โดยทรงประกาศอิสสรภาพที่เมืองแครง เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๒๗ พระองค์ได้ทรงทำสงคราม เพื่อความเป็นปึกแผ่นของแผ่นดินไทย ตลอดพระชนมายุของพระองค์ ทำให้อาณาจักรอยุธยาแผ่ไปอย่างกว้างขวาง เป็นหนึ่งในสุวรรณภูมิการสงครามครั้งสำคัญคือสงครามยุทธหัตถี ระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชา ที่ตำบลหนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี ผลจากสงครามครั้งนี้ทำให้พม่า ไม่กล้ายกกองทัพมารุกรานไทย เป็นระยะเวลาเกือบ ๒๐๐ ปี ทางด้านตะวันออก พระองค์ก็ได้ทรงปราบปรามกัมพูชา ที่คอยถือโอกาสซ้ำเติมเมื่อคราวไทยอ่อนแอ หรือเวลามีศึกสงครามทางด้านอื่น ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่สองเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ เป็นการเสียกรุงอย่างย่อยยับที่สุด ในประวัติศาสตร์ชาติไทย เพราะพม่าได้เผาผลาญทำลายทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิง บ้านเมือง วัดวาอาราม ปราสาทราชวัง ถูกทำลายลงสิ้น ผู้คนที่อพยพหนีพม่า เข้ามาอยู่ในเมืองประมาณหนึ่งแสนคนเศษ ถูกพม่าฆ่าตายมากกว่าครึ่ง ที่เหลือก็ถูกกวาดต้อน นำไปเมืองพม่าอย่างทารุณ ได้รับความยากแค้นแสนสาหัส ทรัพย์สินของมีค่าต่าง ๆ ถูกนำกลับไปพม่านับประมาณมิได้ | |
| |
อวสานของกรุงศรีอยุธยา | เมื่อมีเกิดก็มีดับ กรุงศรีอยุธยาดำรงความเป็นราชธานีไทย ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองจนล่วงมาถึง สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ เป็นระยะเวลา ๔๑๗ ปี นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๑๘๙๔ ถึง ปี พ.ศ.๒๓๑๐ ก็ถึงกาลล่มสลายอย่างย่อยยับด้วยความอ่อนแอ ของคนไทยเราเอง เพื่อให้เห็นภาพลักษณ์ดังกล่าว จึงขอยกเอาคำรำพึงของมหากวีเอกของไทยคือสุนทรภู่ ที่ได้บรรยายไว้ในนิราศพระบาทถึงสภาพของ กรุงศรีอยุธยาไว้บางตอนดังนี้ ........... ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน
อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์ เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง ........... ดูพาราน่าคิดอนิจจัง ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา |
สมัยเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีความเจริญในด้านช่างหลายแขนง ศิลปสกุลช่างอยุธยา ไม่ว่าจะเป็นด้าน สถาปัตยกรรม จิตกรรม หรือประติมากรรม ซึ่งถือได้ว่าเป็นยุคทองของศิลปกรรมไทย โดยดูได้จากเครื่องทองของมีค่า เช่น ข้าวของ เครื่องใช้เครื่องประดับของเจ้านาย จากฝีมือช่างในราชสำนัก ที่พบในกรุวัดมหาธาตุ และวัดราชบูรณะ ในอดีต มีงานศิลปหัตถกรรมระดับชาวบ้าน ชาวเมืองก็มีมากมาย โดยเฉพาะในเกาะเมืองตลอดจนบริเวณโดยรอบ มีแหล่งผลิตและจำหน่าย เครื่องปั้นดินเผา เครื่องเหล็ก เครื่องเงิน เครื่องทองเหลือง ตะลุ่มพาน เครื่องอัฐบริขาร และเครื่องไม้ปรุงเรือน ภายหลังที่กรุงแตก ผู้คนต้องหนีภัยสงคราม และช่างในราชสำนักถูกพม่ากวาดต้อนไปพม่า บางกลุ่มที่หนีเข้าป่าแล้วกลับมาตั้งรกรากในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ศิลปหัตถกรรมกรุงเก่า ในปัจจุบันจะมีหม้อดินเผาคลองสระบัว มีดอรัญญิก รูปหินสลัก ตะเพียนทอง ปลาไทยจากใบลาน ตุ๊กตาชาวบ้าน งอบกรุงเก่า ปรุงเรือนไทย เป็นต้น
หม้อดินเผาคลองสระบัว
อาชีพปั้นหม้อของชุมชนสองฝั่งคลองสระบัว (เป็นงานอาชีพหัตถกรรมที่เก่าแก่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี) และเดิมคลองสระบัว มีชื่อเรียกว่า คลองหม้อ
ปัจจุบัน คงเหลือผู้ปั้นหม้อเพียงสิบกว่าหลังคาเรือน และหม้อที่ยังคงปั้น มีอยู่ ๕ ชนิด คือ หม้อต้น หม้อกลาง หม้อจอก หม้อหู และ หม้อกา โดยสามอย่างแรก เป็นหม้อลักษณะกลมก้นมนมีฝาปิด (แบบหม้อต้มยา) ส่วนหม้อหู คือหม้อแกงมีหู และหม้อกา คือกาต้มน้ำ ที่นิยมทำขาย คือ หม้อกลาง และหม้อจอก เฉพาะขนาดพอเหมาะใช้สำหรับหุงต้ม
อาชีพปั้นหม้อของชุมชนสองฝั่งคลองสระบัว (เป็นงานอาชีพหัตถกรรมที่เก่าแก่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี) และเดิมคลองสระบัว มีชื่อเรียกว่า คลองหม้อ
ปัจจุบัน คงเหลือผู้ปั้นหม้อเพียงสิบกว่าหลังคาเรือน และหม้อที่ยังคงปั้น มีอยู่ ๕ ชนิด คือ หม้อต้น หม้อกลาง หม้อจอก หม้อหู และ หม้อกา โดยสามอย่างแรก เป็นหม้อลักษณะกลมก้นมนมีฝาปิด (แบบหม้อต้มยา) ส่วนหม้อหู คือหม้อแกงมีหู และหม้อกา คือกาต้มน้ำ ที่นิยมทำขาย คือ หม้อกลาง และหม้อจอก เฉพาะขนาดพอเหมาะใช้สำหรับหุงต้ม
มีดอรัญญิก มีดอรัญญิก เป็นมีดที่ชาวบ้านไผ่หนอง และบ้านต้นโพธิ์ อำเภอนครหลวง เป็นผุ้ผลิตด้วยเหล็กเนื้อเหนียว แกร่งและคม เหมาะแก่การใช้สอยในหลายรูปแบบ และนำมาจำหน่ายที่ตลาดอรัญญิก คนที่ซื้อใช้จึงเรียกกันติดปากว่า "มีดอรัญญิก"
บรรพบุรุษที่ตีมีดของทั้งสองหมู่บ้าน เป็นชาวลาวมาจากเวียงจันทน์ ที่อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ ๒ และส่วนใหญ่เป็น ช่างผู้มีฝีมือตีเหล็ก นอกจากจะตีมีดอรัญญิกแล้วยังรับทำจอบ เสียม ผาน และทำใบเคียวเกี่ยวข้าว รวมทั้งรับซ่อมเครื่องมือเหล็ก ดังกล่าวอีกด้วย แม้ในปัจจุบัน พวกชาวนาจะหันไปใช้รถไถ รถเกี่ยวข้าวแทนเครื่องมือดั้งเดิมกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ทั้งสองหมู่บ้านก็ยังคงยึด อาชีพนี้เป็นอาชีพหลัก
บรรพบุรุษที่ตีมีดของทั้งสองหมู่บ้าน เป็นชาวลาวมาจากเวียงจันทน์ ที่อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ ๒ และส่วนใหญ่เป็น ช่างผู้มีฝีมือตีเหล็ก นอกจากจะตีมีดอรัญญิกแล้วยังรับทำจอบ เสียม ผาน และทำใบเคียวเกี่ยวข้าว รวมทั้งรับซ่อมเครื่องมือเหล็ก ดังกล่าวอีกด้วย แม้ในปัจจุบัน พวกชาวนาจะหันไปใช้รถไถ รถเกี่ยวข้าวแทนเครื่องมือดั้งเดิมกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ทั้งสองหมู่บ้านก็ยังคงยึด อาชีพนี้เป็นอาชีพหลัก
รูปหินสลัก การแกะสลักหินมิใช่อาชีพเก่าแก่ของอยุธยา เมื่อเที่ยบกับการปั้นหม้อหรือตีเหล็ก แต่เกิดขึ้นจากผลพลอยได้ ที่ชาวบ้านคลุกคลีอยู่กับศิลปวัตถุโบราณที่ยังคงมีอยู่ทั่วไปในราชธานีเดิมแห่งนี้ และฝีมือช่างของคนยุคหลังก็สามารถทำได้งดงามไม่แพ้ของโบราณ
การบุกเบิกงานช่างแกะสลักหิน เริ่มทดลองและแกะหิน เลียนแบบของโบราณ จนกระทั้งทำเป็นอาชีพ และกลุ่มลูกค้าก็ขยายวงกว้างขึ้น เช่น พระสงฆ์ที่มาจ้างแกะพระพุทธรูป โรงแรมต่าง ๆ จ้างแกะเทวรูป และงานที่กรมศิลปากรจ้างให้ซ่อมแซมโบราณวัตถุต่าง ๆ เช่น งานการแกะเศียรพระพุทธรูปวัดไชยวัฒนาราม ที่ขาดหายไป
การบุกเบิกงานช่างแกะสลักหิน เริ่มทดลองและแกะหิน เลียนแบบของโบราณ จนกระทั้งทำเป็นอาชีพ และกลุ่มลูกค้าก็ขยายวงกว้างขึ้น เช่น พระสงฆ์ที่มาจ้างแกะพระพุทธรูป โรงแรมต่าง ๆ จ้างแกะเทวรูป และงานที่กรมศิลปากรจ้างให้ซ่อมแซมโบราณวัตถุต่าง ๆ เช่น งานการแกะเศียรพระพุทธรูปวัดไชยวัฒนาราม ที่ขาดหายไป
ตะเพียนทอง-ปลาไทยจากใบลาน
ปลาตะเพียนใบลานเป็นงานหัตถศิลป์ ฝีมือชาวมุสลิมในท้องที่ท่าวาสุกรี บ้านหัวแหลม ที่อยู่คู่กับกรุงศรีอยุธยามาร่วมร้อย ปี และนับเป็นแหล่งผลิตปลาตะเพียนใบลานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
เนื่องจากคนไทยแต่เดิมใกล้ชิดกับปลาตะเพียนมานาน จนถือว่าปลาตะเพียนเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ตามความเชื่อดังกล่าว จึงมีผู้นำใบลานแห้งมาสานเป็นปลาตะเพียนจำลอง ขนาดต่าง ๆ ผูกเป็นพวง เพื่อนำไปแขวนไว้เหนือเปลเด็กอ่อน เป็นศิริมงคลสำหรับเด็ก พร้อมทั้งมุ่งให้เด็กเจริญเติบโต มีฐานะมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ ดุจปลาตะเพียนในฤดูข้าวตกรวง
ปลาตะเพียนสาน มี ๒ ชนิด คือ ชนิดลวดลายและตกแต่งสวยงาม ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ และอีกชนิดหนึ่งเป็นเพียงสีใบลานตามธรรมชาติ
ปลาตะเพียนใบลานเป็นงานหัตถศิลป์ ฝีมือชาวมุสลิมในท้องที่ท่าวาสุกรี บ้านหัวแหลม ที่อยู่คู่กับกรุงศรีอยุธยามาร่วมร้อย ปี และนับเป็นแหล่งผลิตปลาตะเพียนใบลานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
เนื่องจากคนไทยแต่เดิมใกล้ชิดกับปลาตะเพียนมานาน จนถือว่าปลาตะเพียนเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ตามความเชื่อดังกล่าว จึงมีผู้นำใบลานแห้งมาสานเป็นปลาตะเพียนจำลอง ขนาดต่าง ๆ ผูกเป็นพวง เพื่อนำไปแขวนไว้เหนือเปลเด็กอ่อน เป็นศิริมงคลสำหรับเด็ก พร้อมทั้งมุ่งให้เด็กเจริญเติบโต มีฐานะมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ ดุจปลาตะเพียนในฤดูข้าวตกรวง
ปลาตะเพียนสาน มี ๒ ชนิด คือ ชนิดลวดลายและตกแต่งสวยงาม ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ และอีกชนิดหนึ่งเป็นเพียงสีใบลานตามธรรมชาติ
สิ่งที่พบเห็นกันมากในชนบท คือ ชาวนา ชาวไร่ และเหล่าพ่อค้าแม่ค้า มักชอบสวมงอบที่เราคุ้นเคย คือ งอบทรง "คุ้มเกล้า" จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมไทย
งอบมีใช้กันแพร่หลายทั่วทุกภาค โดยจะมีรูปแบบและการเรียกชื่อ แตกต่างกันไปตามภาค เช่น ภาคเหนือและภาคอีสาน จะมีลักษณะโค้ง คล้ายกระทะคว่ำแต่ไม่ลึกนัก จะเรียกว่า "กุบ"งอบทางภาคตะวันออก อย่างจังหวัดตาก จะมีทรงกลมสูง ส่วนงอบทางภาคใต้มียอดแหลม ทรงคล้ายหมวดกุ้ยเล้ยของจีน เรียกว่า "เปี้ยว"
งอบที่ชาวไทยทุกภาคใช้กันอย่างแพร่หลายทำจากวัสดุท้องถิ่น ที่หาได้ไม่ยาก เช่น ใบลาน หรือใบจาก
แหล่งผลิตงอบที่มีชื่อเสียงของอยุธยาสมัยก่อน คือ บ้านโพธิ์ ในเขนอำเภอเสนา เรียกกันว่า "งอบทรงมอญ" ซึ่งมีรูปร่างสวยงามและเป็นที่นิยมของคนทั่วไป ปัจจุบันอำเภอที่นิยมผลิตกันมาก คือ อำเภอบางปะหันในหลายตำบล โดยการร่วมกันผลิตและถือเป็นอาชีพรองจากการทำนา และการผลิตนั้นจะแบ่งกันทำตามความถนัดของคนแต่ละท้องที่ เช่น ตำบลตาลเอนจะสานโครงงอบ ตำบลบ้านลี่สานรังงอบ ส่วนตำบลบางนาร้าจะทำขั้นตอนสุดท้าย คือการกรุเย็บใบลาน เข้ากับโครงงอบ ติดรังงอบ และตกแต่งจนเสร็จสมบูรณ์ ส่วนแหล่งจำหน่ายใหญ่จะอยู่ที่ตลาดบางปะหัน รวมทั้งส่งไปจำหน่ายยังจังหวัดอื่น ๆ อีกด้วย
อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้น นอกจากจะเป็นแหล่งผลิตงอบแล้ว ยังมีช่างฝีมือปลูกสร้าง เรือนทรงไทย ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ไทยอย่างหนึ่ง
สำหรับเรือนทรงไทย แม้จะมีขนาดใหญ่โตก็ตาม แต่ยังนับว่าเป็นงานหัตถกรรมชนิดหนึ่ง เพราะเป็นการสร้างขึ้นจากฝีมือและภูมิปัญญาของคนไทย
การสร้างเรือนไทยนั้น ช่างต้องทราบขนาดของเรือนเสียก่อน เนื่องจากการคำนวณขนาดและสัดส่วน ในการสร้างเรือนไทยเป็นสิ่งสำคัญมาก ด้วยช่างจะต้องทำเครื่องไม้ทุกตัวที่จะนำมาประกอบขึ้นเป็นตัวเรือนให้ครบเสียก่อน โดยแต่ละชิ้นต้องสัมพันธ์กันพอดี และขั้นตอนของการตระเตรียมส่วนต่าง ๆ นี้ ภาษาช่างเรียกว่า "ปรุงเรือน" ซึ่งเมื่อนำส่วนต่าง ๆ "คุม (ต่อเข้าด้วยกัน)" แล้วจึงจะเป็นเรือนที่สมบูรณ์
เทศกาลและประเพณี
ชาวอยุธยามีชีวิตที่ผูกพันกับท้องน้ำมาโดยตลอด ในอดีตจึงมีเทศกาลที่เป็นงานประเพณีมิได้ขาด และหน้าน้ำคือเดือน 11-12 (พฤศจิกายน-ธันวาคม) จะเป็นเวลาที่คึกคักมากที่สุด ด้วยมีน้ำและข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ เช่น เทศกาลกฐิน งานไหว้พระหลังออกพรรษา รวมทั้งงานลอยกระทงอีกด้วยลิเกชื่อดังเป็นชาวบ้านห้วยทราย ตำบลโพธิ์ลาว อำเภอมหาราช ทั้งสิ้น และมีลิเกในอยุธยาอยู่หลายอย่างกระจายอยู่ในอำเภอต่าง ๆ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมือง บริเวณหัวรอ ประตูชัย ตลาดสวนจิตร (ตลาดอุทุมพร) และแถวสถานีรถไฟ นับเป็นหมู่บ้านลิเกแหล่งใหญ่สุดของอยุธยา ส่วนใหญ่คณะลิเกจะไปเล่นในงานบวช งานศพ งานกฐิน งานผ้าป่า งานไหว้เจ้า และงานประจำปีของวัดต่าง ๆ ปัจจุบันเรื่องที่เล่นจะแต่งให้สอดคล้องกับยุคสมัย ส่วนเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ ที่เคยนิยมแต่เดิมไม่นิยมเล่นกันเท่าใดนัก นอกจากในงานศพ
ผู้เล่นลำตัดส่วนใหญ่จะเป็นมุสลิม ต่างจากลิเกที่ผู้แสดงจะเป็นคนไทยล้วน ๆ เพราะลิเกต้องไหว้ครูฤาษี ซึ่งขัดกับหลักของศาสนาอิสลาม ปัจจุบันคณะลำตัดที่มีชื่อเสียงในอยุธยา จะมีอยู่ ๒ คณะ คือ คณะซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายมอญ และคณะคนไทยซึ่งเป็นชาวมุสลิม
การแสดงลำตัด เป็นการเฉีอนคารมกันด้วยเพลง (ลำ) โดยมีการรำประกอบ แต่ไม่ได้เล่นเป็นเรื่องอย่างลิเก และการแสดงต้องมีทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และเป็นที่นิยมกันมาก เนื่องจากเป็นการแสดงโดยการใช้ไหวพริบปฏิภาณในการด้นกลอนสด ส่วนการประชันลำตัดระหว่าง ๒ คณะ จะใช้เสียงฮาของคนดูเป็นเกณฑ์ คณะใดได้เสียงฮาเสียงปรบมือมากกว่า ก็จะถือเป็นฝ่ายชนะ
ละครแก้บน มีปรากฎตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า ไม่ว่าจะเป็นละครโนรา ละครชาตรี ละครในหรือละครนอก ซึ่งเกี่ยวกับความเชื่อของผู้คนที่มีต่อสิ่งสักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เมื่อบนขอสิ่งใดแล้วและได้ผลสมตามความปรารถนาแล้ว ก็ต้องชดใช้
การแก้บนจะใช้การแสดงหรือละครประเภทใด ขึ้นอยู่กับผู้บน หากไม่ระบุมักแก้บนด้วยละครชาตรี ต่อมาระยะหลังนิยมใช้ละครนอก ซึ่งมิได้ยึดถือรูปแบบและขั้นตอนการแสดงแบบดั้งเดิมอีกต่อไป และการ "ยกเครื่อง" จัดเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของละครแก้บน โดยทำให้เสร็จในช่วงเที่ยงวัน
ละครแก้บนในอยุธยา มีหลายคณะในระบบครอบครัว งานแสดงจะมีมากในช่วงเดือน มีนาคม-พฤษภาคม ส่วนใหญ่ในอดีตจะเป็นการแก้บนในเรื่องที่เกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย การให้ได้มาในสิ่งที่ตนปราถนา กลายเป็นแก้บนในเรื่องอื่น ๆ
พระพักตร์พระประธานวัดพนัญเชิงนี้ ค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยม ไม่แสดงลักษณะเด่นชัดว่าเป็นศิลปอู่ทอง แต่มีเค้าโครงผสมผสานกับศิลปะก่อนกรุงศรีอยุธยา ถึง 26 ปี คือสมัยอโยธยาตอนปลาย เพราะพุทธลักษณะของพระพักตร์คลายความเคร่งเครียดลงไป น่าจะอยู่ในสมัยที่ชาวกรุงศรีอยุธยาเริ่มนับถือศาสนาพุทธแบบหินยาน
เป็นพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น แต่พุทธลักษณะที่ปรากฏอยู่นั้นเป็นศิลปสมัยอยุธยาตอนกลาง ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง (แบบพระทรงเครื่อง) ด้วยมีลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปก่ออิฐในเมรุทิศ เมรุรายวัดไชยวัฒนาราม ซึ่งพระเจ้าปราสาททองสร้างขึ้น ส่วนพระประธานวัดหน้าพระเมรุ คงจะได้รับการปฏิสังขรณ์ในยุคสมัยนั้น
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ วัดนี้ใช้เป็นที่ลงพระนามสงบศึกกับพม่า จนกระทั่งคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 พม่าได้ใช้วัดนี้ตั้งเป็นกองบัญชาการ จึงรอดจากการถูกทำลาย
ปี พ.ศ. ๒๔๓๔ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ( United Nation Education Science and Culture Organization) ได้คัดเลือกให้นครประวัติศาสตร์ศรีอยุธยา เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม นับเป็นเกียรติอันสูงส่ง ของไทย ที่นานาชาติได้เห็นคุณค่า และความสำคัญ อย่างยิ่งยวดของมรดกไทยอันมีคุณค่ายิ่งของไทย
โบราณสถานทั้งในเกาะเมืองและรอบเกาะเมืองมีอยู่มากมายหลายร้อยแห่ง เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็ได้ถูกทำลายลงไป ในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ พบว่า ในบริเวณดังกล่าวมีโบราณสถานมากกว่า ๔๐๐ แห่ง แต่ต่อมาอีก ๒๐ ปี คือเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ โบราณสถานดังกล่าวได้ถูกทำลายไปจนเหลืออยู่เพียง ๒๔๙ แห่งเท่านั้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวล ห่วงใยในมรดกของชาติในส่วนนี้เป็นอย่างยิ่ง สมควรที่ชาวไทยทุกหมู่ทุกเหล่าได้มีจิตสำนึก ในการอนุรักษ์มรดกไทย ซึ่งแม้แต่ประชาคมโลกก็ยังเห็นคุณค่าอันสูงส่งนี้ ให้ดำรงคงอยู่เป็นเกียรติประวัติ เป็นความภาคภูมิใจ ของประชาชาวไทยตลอดไป
ประวัติอยุธยา ประกอบด้วยข้อมูล ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา ประวัติกรุงศรีอยุธยา วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย สมัยอยุธยา ประวัติศาสตร์อยุธยา ประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยา ไหว้พระ 9 วัด อยุธยา วรรณคดีสมัยอยุธยา วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลาง กษัตริย์สมัยอยุธยา ศิลปวัฒนธรรมสมัยอยุธยา กรุงศรีอยุธยา การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 2 3 สมัยกรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น